การฟื้นตัวของจักรวรรดิยุโรปตะวันตก (ค.ศ. 700-ค.ศ. 850) ของ ต้นสมัยกลาง

จนกระทั่งการเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 814 ชาร์เลอมาญทรงปกครองจักรวรรดิที่รวมทั้งคาเทโลเนียในปัจจุบัน ฝรั่งเศส เยอรมนีตะวันตก

สถานะการณ์ในยุโรปตะวันตกเริ่มกระเตื้องขึ้นหลังจากปี ค.ศ. 700 เมื่อยุโรปเริ่มประสบกับความรุ่งเรืองทางผลผลิตทางเกษตรกรรมที่ต่อเนื่องกันอย่างน้อยก็มาจนถึงปี ค.ศ. 1100[18] การศึกษาสิ่งที่ตกค้างอยู่ในหินปูนบนพื้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสรุปว่าระดับรังสีแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติมากระหว่าง ค.ศ. 600 จนถึง ค.ศ. 900[19] สัญญาณแรกที่แสดงถึงการฟื้นตัวของยุโรปเกิดขึ้นที่สมรภูมิในการป้องกันเมืองคอนสแตนติโนเปิลในปี ค.ศ. 717 และเมื่อชนแฟรงค์ได้รับชัยชนะต่ออาหรับในยุทธการปัวติเยร์ ในปี ค.ศ. 732

ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 5 จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ก็ได้มีการวิวัฒนาการระบบการบริหารและการสังคมขึ้นโดยทั่วไปในบริเวณที่เป็นอดีตจักรวรรดิโดยครอบครัวขุนนางผู้มีอำนาจในบริเวณต่างๆ และอาณาจักรใหม่ๆ ที่ก่อตั้งขึ้นโดยออสโตรกอธในอิตาลี, วิซิกอธในสเปน และ โปรตุเกส, แฟรงค์และเบอร์กันดีในกอล และเยอรมนีตะวันตก ดินแดนเหล่านี้ยังคงเป็นดินแดนคริสเตียนและผู้พิชิต (วิซิกอธ และ ลอมบาร์ด) หรือ ผู้ถูกพิชิต (ออสโตรกอธ และ แวนดัล) ที่เคยนับถือลัทธิเอเรียนิสม์ก็เปลี่ยนมาเป็นโรมันคาทอลิก แต่ชนแฟรงค์เปลี่ยนโดยตรงจากการเป็นเพกันมานับถือโรมันคาทอลิกภายใต้การนำของโคลวิสที่ 1

การผสมผสานระหว่างปัจจัยต่างๆ ที่รวมทั้งวัฒนธรรมของผู้ที่เข้ามาใหม่, ความจงรักภักดีในกลุ่มชนนักรบ, วัฒนธรรมคลาสสิกที่ยังหลงเหลืออยู่ และอิทธิพลคริสเตียนทำให้เกิดสังคมที่มีลักษณะใหม่ที่มีพื้นฐานมาจากระบบศักดินาดั้งเดิม แต่สิ่งที่หายไปคือระบบการบริหารจากส่วนกลาง และ การสนับสนุนการมีทาสของสถาบันของโรมัน แองโกล-แซ็กซอนในอังกฤษก็เริ่มเปลี่ยนจากการนับถือพหุเทวนิยมไปนับถือคริสต์ศาสนาโดยนักสอนศาสนาที่มาถึงเกาะราวปี ค.ศ. 600 แต่ไม่เหมือนกับฝรั่งเศสคริสต์ศาสนาในอังกฤษมีด้วยกันสองระบบ--โรมันคาทอลิกทางใต้ และ คริสต์ศาสนาแบบเคลติคทางตอนเหนือ ซึ่งกลายเป็นประเด็นสำคัญในการประชุมสภาสงฆ์แห่งวิทบีย์ (Synod of Whitby) ในปี ค.ศ. 664 หลังจากการประชุมแล้วโรมันคาทอลิกก็กลายเป็นลัทธิที่มีอิทธิพลเหนือกว่า

อิตาลี

ลอมบาร์ดผู้เข้ามาในอิตาลีครั้งแรกในปี ค.ศ. 568 ภายใต้อัลบอยน์ (Alboin) ก่อตั้งอาณาจักรขึ้นทางตอนเหนือโดยมีเมืองหลวงอยู่ที่ปาเวีย ในตอนแรกลอมบาร์ดก็ไม่สามาระเอาชนะอาณาจักรเอ็กซาเคทแห่งราเวนนา (Exarchate of Ravenna), ดูคาทัส โรมานัส, และคาลาเบรีย และ อพูเลียได้ อีกสองร้อยปีต่อมาลอมบาร์ดก็มุ่งมั่นที่จะเอาชนะดินแดนเหล่านี้จากจักรวรรดิไบแซนไทน์

ถาดจากสมบัติแห่งกูร์ดอง (Treasure of Gourdon)

รัฐลอมบาร์ดเป็นรัฐอานารยชนทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริงเมื่อเทียบกับรัฐเจอร์มานิคในสมัยแรกของยุโรปตะวันตก ในสมัยแรกเป็นการปกครองแบบกระจายอำนาจ โดยมีดยุกมีอำนาจเด็ดขาดในการปกครองดัชชีของตนเองโดยเฉพาะทางด้านใต้ในดัชชีแห่งสโปเลโต และ ดัชชีแห่งเบเนเวนโต สิบปีหลังจากการเสียชีวิตของเคล็ฟในปี ค.ศ. 575 ลอมบาร์ดก็มิได้เลือกพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ สมัยนี้เป็นสมัยที่เรียกว่า “สมัยการปกครองของดยุก” (Rule of the Dukes) กฎหมายฉบับแรกเขียนเป็นภาษาละตินที่ไม่ดีนักในปี ค.ศ. 643: “ประมวลกฎหมายโรธาริ” (Edictum Rothari) ซึ่งเป็นการบันทึกกฎหมายที่ถ่ายทอดกันมาโดยปากเปล่า

เมื่อมาถึงปลายสมัยอันยาวนานของลูทพรันด์ (Liutprand, King of the Lombards) (ค.ศ. 717-ค.ศ. 744) รัฐลอมบาร์ดก็กลายเป็นรัฐที่มีระบอบการปกครองที่มีระบบและมีความมั่นคง แต่ความเสื่อมโทรมก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กษัตริย์องค์ต่อมาเดซิเดเรียส (Desiderius) ผู้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากดยุกก็พ่ายแพ้และต้องยอมยกอาณาจักรให้แก่ชาร์เลอมาญในปี ค.ศ. 774 อาณาจักรลอมบาร์ดมาสิ้นสุดลงในสมัยการปกครองของแฟรงค์ เมื่อพระมหากษัตริย์ของแฟรงค์เปแปงเดอะชอร์ทถวายดินแดนทางตอนเหนือที่ส่วนใหญ่ปกครองโดยลอมบาร์ดและอาณาจักรที่ขึ้นต่อจักรวรรดิแฟรงค์ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ “อาณาจักรพระสันตะปาปา” จนกระทั่งถึงสมัยที่นครรัฐขึ้นมามีอำนาจในคริสต์ศตวรรษที่ 11 และ 12 บริเวณลอมบาร์ดจึงค่อยฟื้นตัว

ทางด้านใต้ของอิตาลีก็เริ่มเป็นสมัยอนาธิปไตยแต่ดัชชีแห่งเบเนเว็นโตสามารถดำรงตัวอยู่ได้ ในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ซาราเซ็นก็พิชิตซิซิลีได้และเริ่มเข้ามตั้งถิ่นฐานในคาบสมุทร เมืองตามริมฝั่งทะเลของทะเลไทเรเนียน (Tyrrhenian Sea) แยกตัวจากจักรวรรดิไบแซนไทน์ รัฐต่างๆ ต่างก็ต่อสู้กันเองเรื่อยมาจนกระทั่งมาถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 11 เมื่อนอร์มันเข้ามายึดบริเวณทางตอนใต้ของอิตาลีได้ทั้งหมดในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11

อังกฤษ

ดูบทความหลักที่: อังกฤษสมัยแองโกล-แซ็กซอน
หมวกเหล็กแองโกล-แซ็กซอนพบที่ซัททันฮู (คริสต์ศตวรรษที่ 7)

ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 5 ชนหลายกลุ่มในเยอรมนี, ฮอลแลนด์ และ เดนมาร์กเริ่มเข้ามารุกรานบริเตนซึ่งเป็นดินแดนที่ถูกทิ้งหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ตามที่เชื่อกันมาหัวหน้าเผ่าจูทสองคนเฮนเจสต์ และ ฮอร์ซา ได้รับสัญญาจากพระเจ้าแผ่นดินบริเตนวอร์ติเกิร์น (Vortigern) ว่าจะมอบดินแดนให้ถ้าสามารถกำจัดผู้รุกรานชาวพิคท์ได้ ตาม “พงศาวดารแองโกล-แซ็กซอน” หลังจากที่ได้รับชัยชนะต่อพิคท์แล้วฝ่ายจูทก็ “สงข่าวไปยังแองเกลนและเรียกกองกำลังให้มาสมทบเพิ่มขึ้น และกล่าวถึงความไร้คุณค่าของชนบริเตน และคุณค่าของดินแดน” ซึ่งเท่ากับเป็นการเริ่มต้นการเข้ามารุกรานและการพิชิตางตอนกลางและตอนใต้ของบริเตนโดยกลุ่มชนต่างๆ ของกลุ่มชนเจอร์มานิคที่รวมทั้ง จูท แองเกิลส์ และ แซ็กซอน ชนเคลต์ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนหน้าในบริเตนนั้นถูกสังหารไปราว 50 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลานี้[20] หลังจากนั้นแองโกล-แซ็กซอนก็สามารถก่อตั้งอาณาจักรขึ้นหลายอาณาจักรที่มีความสำคัญและความยั่งยืนต่างๆ กันจนกระทั่งมาถึงรัชสมัยของพระเจ้าอัลเฟรดมหาราช (ค.ศ. 849-ค.ศ. 899) แห่งเวสเซ็กซ์ผู้ทรงนำกลุ่มแองโกล-แซ็กซอนต่างๆ ในการต่อต้านกองการรุกรานของเดนส์ และเริ่มการรวบรวมอังกฤษเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่มาสำเร็จเอาในปี ค.ศ. 926 เมื่อนอร์ทธัมเบรียถูกผนวกโดยพระเจ้าเอเธลสตันผู้เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าอัลเฟรด

จักรวรรดิแฟรงค์

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของชาร์เลอมาญในกรุงโรม

เมโรแว็งเชียงก่อตั้งตนเองในบริเวณที่เดิมเป็นจังหวัดโรมันในกอล หลังจากได้รับชัยชนะต่ออลามานนิในยุทธการโทลบิแยคแล้วโคลวิสที่ 1 ก็เปลี่ยนไปนับถือคริสต์ศาสนาและวางรากฐานของจักรวรรดิแฟรงค์ที่กลายมาเป็นรัฐมหาอำนาจในจักรวรรดิคริสเตียนตะวันตกในยุคกลาง

เริ่มต้นเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 ชาร์เลอมาญรวบรวมอาณาบริเวณต่างๆ ในฝรั่งเศส เยอรมนีตะวันตก และอิตาลีตอนเหนือปัจจุบันเข้าด้วยกันเป็นจักรวรรดิคาโรแล็งเชียง สมัยการปกครองของชาร์เลอมาญเป็นสมัยที่มีความรุ่งเรืองทางการศึกษาและทางวัฒนธรรมที่นักประวัติศาสตร์ของคริสต์ศตวรรษที่ 20 เรียกว่า “ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาคาโรแล็งเชียง

ในคริสต์ทศวรรษที่ 840 หลังจากจักรวรรดิแฟรงค์ถูกแบ่งแยกยุโรปก็เข้าสู่สมัยการรุกรานจากอนารยชนอีกครั้งหนึ่ง เริ่มด้วยไวกิงและตามด้วยมาจยาร์[21]

ระบบมาเนอร์

ดูบทความหลักที่: ระบบมาเนอร์

ราวปี ค.ศ. 800 การทำการเกษตรกรรมอย่างมีระบบก็กลับมาแพร่หลายอีกครั้งในยุโรปในรูปของระบบแปลงเกษตรกรรมเปิด (Open field system) หรือระบบระบบมาเนอร์ (Manorialism) เป็นระบบการเกษตรกรรมที่มีลักษณะเป็นแปลงหลายแปลงแต่ละแปลงก็แบ่งออกเป็นแถบๆ ละครึ่งเอเคอร์หรือน้อยกว่านั้น ที่ตามทฤษฎีถือว่าเป็นขนาดที่วัวสามารถไถเสร็จได้ก่อนที่จะต้องหยุดพัก อีกทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่าที่แบ่งเป็นแถบเพราะเดิมเป็นที่ดินสี่เหลี่ยมแต่ต้องแบ่งเป็นแถบตามลักษณะของที่ดินที่ได้รับ[ต้องการอ้างอิง] ปกติแล้วแต่ละครอบครัวก็จะได้รับที่ดินครอบครัวละสามสิบแถบ

การเกษตรกรรมระบบมาเนอร์ใช้การปลูกพืชพันธุ์แบบระบบเกษตรกรรมสามแปลง (three-field system) ของระบบเกษตรกรรมแบบหมุนเวียน (crop rotation) ที่วิวัฒนาการขึ้นเป็นครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยการปลูกข้าวสาลีและข้าวไรย์ในแปลงหนึ่ง ในแปลงที่สองเป็นพืชที่ช่วยสร้างไนโตรเจน (ข้าวบาร์เลย์, ข้าวโอ๊ต และพืชตระกูลถั่ว) และแปลงสุดท้ายไถทิ้งไว้โดยไม่ปลูกพืช[22] เมื่อเทียบกับระบบเกษตรกรรมสองแปลง (two-field system) ที่ทำกันมาก่อนหน้านั้น ระบบสามแปลงต้องใช้เนื้อที่ในการทำเกษตรกรรมมากขึ้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือทำให้ได้ผลิตผลเพิ่มขึ้นเป็นสองครั้งต่อปีซึ่งเป็นการลดอันตรายที่เกิดจากความล้มเหลวของการเกษตรกรรมที่นำไปสู่ความอดอยาก และเป็นระบบที่ทำให้มีข้าวโอ๊ตที่เป็นผลิตผลส่วนเกินที่ใช้ในการเลี้ยงม้าได้[23] ระบบสามแปลงทำให้ต้องมีการจัดระบบโครงสร้างทั้งทางการเกษตรกรรมและทางสังคมกันอย่างขนานใหญ่ ระบบนี้มิได้แพร่หลายมาจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 11 ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 ก็มีการใช้คันไถล้อหนักซึ่งต้องใช้กำลังสัตว์มากขึ้นโดยการใช้วัวหลายตัว โรมันใช้คันไถล้อเบาที่ไม่เหมาะกับการใช้กับดินที่แน่นซึ่งไถยากกว่าทางตอนเหนือของยุโรป

การหันกลับมาทำการเกษตรกรรมอย่างมีระบบประจวบกับการระบบโครงสร้างใหม่ของสังคมที่เรียกว่าระบบศักดินา ระบบนี้เป็นระบบฐานันดรที่ผู้ที่อยู่ในระบบแต่ละระดับต่างก็มีความรับผิดชอบต่อกัน คนแต่ละคนมีหน้าที่ต่อผู้ที่เหนือกว่าและผู้ที่เหนือกว่าก็มีหน้าที่พิทักษ์ผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครอง แต่บางครั้งระบบนี้เป็นระบบที่ค่อนข้างสับสนจากการเปลี่ยนแปลงการสวามิภักดิ์ของฝ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบางครั้งก็เป็นการขัดแย้งกันเอง ระบบศักดินาเป็นระบบที่ทำให้รัฐต้องมีหน้าที่ในการพิทักษ์ความปลอดภัยของผู้อยู่ในการอารักขาด้วยมาตรการที่วางไว้แม้ว่าบางครั้งระบบการปกครองหรือการบันทึกเป็นตัวอักษรอาจจะหยุดยั้งไปแล้วก็ตาม แม้แต่ความขัดแย้งกันเรื่องที่ดินก็ยังตัดสินกันด้วยคำให้การแต่เพียงอย่างเดียว ดินแดนต่างๆ ก็ลดลงเหลือเพียงเครือข่ายของระบบการสวามิภักดิ์ของกลุ่มบุคคลย่อยๆ แท่นที่จะเป็นระบบ “ชาติ” ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ใกล้เคียง

ต้นสมัยกลาง ต้นสมอไทย ต้นไม้ตัดสินใจ ต้นไม้ของพ่อ ต้นไม้แบบที ต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว ต้นไม้ (ทฤษฎีกราฟ) ต้นไม้เงินต้นไม้ทอง ต้นไม้ (โครงสร้างข้อมูล) ต้นไม้แดงดำ

แหล่งที่มา

WikiPedia: ต้นสมัยกลาง http://home.vicnet.net.au/~ozideas/poprus.htm http://calendar.dir.bg/inner.php?d=16&month=2&year... http://www.programata.bg/?p=62&c=1&id=51493&l=2 http://geography.about.com/library/weekly/aa011201... http://www.absoluteastronomy.com/topics/Rome http://www.britannica.com/eb/article-9239 http://www.britannica.com/ebi/article-207743 http://www.livescience.com/history/080623-hs-small... http://www.speedylook.com/Bulgaria.html http://www.unrv.com/empire/roman-population.php